การวัดและทดสอบค่าความต้านทานดิน
การวัดและทดสอบค่าความต้านทานดิน
การลงกราวด์ของระบบไฟฟ้า เป็นข้อกำหนดทางวิศวกรรมไฟฟ้าที่มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือฟ้าผ่า ซึ่งอาจเกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้า รวมถึงผู้ใช้งานเอง การมีระบบกราวน์ที่ดีนอกจากจะช่วยป้องกันอันตรายแล้วยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับอุปกรณ์และระบบไฟฟ้า ในแต่ละปีมีความเสียหายเกิดขึ้นไม่น้อยกว่าพันล้านบาท อันเนื่องมาจากเพลิงไหม้ที่มีสาเหตุมาจากระบบไฟที่ไม่ได้ทำการซ่อมบำรุง
NEC (National Electrical Code ) ได้ให้คำนิยามของกราวน์ไว้ว่า “การเชื่อมต่อที่นำไฟฟ้าทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจระหว่างวงจรไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ากับพื้นดินหรือกับตัวนำไฟฟ้าบางอย่างที่ใช้แทนพื้นดิน” อุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าทุกชนิดจำเป็นต้องมีการลงกราวน์ เนื่องจากเมื่อเกิดการรั่วไหลของกระแส กระแสที่รั่วไหลจะวิ่งไปหาจุดที่มีความต้านทานต่ำที่สุด หากไม่มีการลงกราวน์จะทำให้กระแสลัดวงจร และหากเราไปสัมผัสกับอุปกรณ์ที่มีการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าจะทำให้ถูกไฟช็อต
A. ระบบไฟฟ้าที่ไม่มีการลงกราวด์
B. ระบบไฟฟ้าที่มีการลงกราวด์
ตามข้อกำหนดทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ค่าความต้านทานดิน 5 โอห์ม คือมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ยอมให้มีค่าความต้านทานดิน ไม่เกิน 25 โอห์ม (เป็นค่าที่กำหนดในมาตรฐาน NEC ของสหรัฐอเมริกา)
กราวด์ไฟฟ้าจะประกอบด้วย
- แท่งกราวด์ไฟฟ้า เป็นส่วนที่ปักลงไปในดิน มีลักษณะเป็นแท่งโลหะที่นำไฟฟ้าได้ดี โดยทั่วไปจะเป็นทองแดง
- ตัวนำไฟฟ้า เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์หรือระบบไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่นำกระแสที่รั่วไหลลงไปที่ขั้วไฟฟ้ากราวด์
- การเชื่อมต่อระหว่างขั้วกราวด์และตัวนำ ซึ่งทำได้หลายวิธี ทั้งการบัดกรีด้วยความร้อน การบีบอัดหรือใช้แคล้มป์ต่อสาย
Kyoritsu 4106 Digital Earth Tester
- สามารถวัดได้ทั้งแบบ 4 สาย (แบบละเอียด ความเที่ยงตรงสูง) วัดแบบ 3 สาย และแบบ 2 สาย (อย่างง่าย)
- วัดความต้านทานดินได้ตั้งแต่ 0.03 – 200k Ω
Kyoritsu 4200 Digital Earth Clamp Tester
- วัดความต้านทานดินได้ตั้งแต่ 0.05 – 1500Ω โดยไม่ต้องตอกหลักดิน
- วัดกระแสแบบ True RMS ได้ถึง 30A