5 อันดับ เครื่องมือในงานซ่อมบำรุงที่ต้องมี

5 อันดับ เครื่องมือในงานซ่อมบำรุงที่ต้องมี

     งานซ่อมบำรุงเป็นส่วนงานที่มีความสำคัญกับโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท โรงงานอุตสาหกรรมแทบทั้งหมดจะมีแผนกซ่อมบำรุงอยู่ด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่มีหน้าที่ทั้งซ่อมเครื่องจักรที่เกิดความเสียหายแล้ว และยังมีหน้าที่ประเมินสภาพเครื่องจักร วางแผนในการซ่อมบำรุง เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องจักรที่ยังไม่เกิดความเสียหาย โดยที่อย่างหลังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการปล่อยให้เครื่องจักรเกิดความเสียหายก่อนแล้วค่อยซ่อม ประโยชน์ของการวางแผนการซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรแล้ว ยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรได้อีกด้วย

     การซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีเครื่องมือวัดและทดสอบที่น่าเชื่อถือ วันนี้แสงชัยมิเตอร์ขอนำเสนอเครื่องมือวัดในงานซ่อมบำรุง 5 อันดับ ที่ขาดไม่ได้ในแผนกซ่อมบำรุง ดังนี้

อันดับที่ 1 กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera)

     นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกล้องถ่ายภาพความร้อนแน่ๆ กล้องถ่ายภาพความร้อนถือเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากเครื่องวัดอุณหภูมิธรรมดามาเป็นการวัดอุณหภูมิแบบเป็นรูปภาพ ซึ่งทําให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความร้อนอยู่ที่จุดไหน กล้องถ่ายภาพความร้อนมีประโยชน์นอกจากวัดความร้อนของเครื่องจักรแล้ว ยังใช้วัดความร้อนของสายไฟ หม้อแปลง และอุปกรณ์ในตู้ควบคุมไฟฟ้า ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้ที่เราเห็นจากดูข่าวสารในช่วงที่ผ่านมา

อันดับที่ 2 เครื่องวิเคราะห์ความสั่นสะเทือน (Vibration Tester)

     ถ้าในโรงงานของคุณยังไม่มีการวัดค่าความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรแล้วล่ะก็ คุณอาจจะต้องเตรียมรับมือกับความเสียหายที่เกิดจากการหยุดกระบวนการผลิตอย่างกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัว ค่าความสั่นสะเทือนถือเป็น Index สําคัญที่บอกว่าเครื่องจักร ของคุณมีความเสียหายในระดับใด และในปัจจุบัน เครื่องวัดความสั่นหลายๆรุ่นมีการคํานวณและวิเคราะห์ให้เห็นถึงต้นตอของ ความสั่นที่เกิดขึ้น ถือเป็นตัวช่วยที่ทําให้งานซ่อมบํารุงนั้นง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลงทุนกับเครื่องวัดความสั่น คุณภาพสูงเพียงหนึ่งครั้ง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบํารุงได้อย่างเกินคุ้มแน่นอน

อันดับที่ 3 เครื่องวัดและวิเคราะห์พลังงานไฟฟ้า (Power Analyzer)

     พลังงานไฟฟ้าคือแหล่งพลังงานหลักในทุกๆอุตสาหกรรม และเป็นต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งคุณภาพของไฟฟ้านั้น ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับเครื่องจักรในโรงงาน และเป็นสาเหตุหลักๆของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรอีกด้วย การวัดค่าพลังงานและการวัดคุณภาพไฟฟ้า จึงมีส่วนสําคัญที่จะทําให้ภาระในงานซ่อมบํารุงลดลง และสามารถใช้วางแผนการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากค่าไฟที่แพงขึ้นได้อีกด้วย

อันดับที่ 4 เครื่องตรวจจับแก๊ส (Gas Detection)

     หลายๆโรงงานที่ไม่มีการใช้แก๊สในกระบวนการอาจจะโล่งใจที่ไม่ต้องมีเครื่องตรวจจับแก๊สซื้อเครื่องมือนี้มาใช้งาน แต่แน่ใจแล้วหรือไม่?
     แก๊สเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและระเหยมาจากของเหลว หรือระเหิดมาจากของแข็ง ดังนั้น หากในอุตสาหกรรมของคุณมีการใช้ สารเคมี โดยเฉพาะสารเคมีที่ติดไฟได้ (Combustible gas) หรือสารเคมีที่อันตราย เครื่องตรวจจับแก๊สก็ถือเป็นเครื่องมือที่จําเป็น ยังไม่รวมถึงโรงงานที่มีพื้นที่อับอากาศ (Confined Space) เช่น บ่อพักน้ําเสีย ไซโล การลงไปทํางานในพื้นที่ดังกล่าวจําเป็นต้องมีเครื่องมือตรวจจับแก๊ส เพื่อตรวจสอบว่าพื้นที่นั้นปลอดภัยสําหรับการทํางานหรือไม่ มิฉะนั้นอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นถึงชีวิตได้

อันดับที่ 5 เครื่องวัดความหนา เครื่องวัดรอยร้าว (Ultrasonic Thickness Tester/ Flaw Detector)

     เครื่องวัดความหนาและเครื่องวัดรอยร้าวใช้หลักการเดียวกันในการตรวจสอบชิ้นงาน คือคลื่นอุลตร้าโซนิคที่จะเคลื่อนที่ในของแข็งและของเหลว แต่สะท้อนกลับเมื่อเจออากาศ การใช้เครื่องมือวัดความหนาจะช่วยให้เราทราบความหนาของชิ้นงานโดยไม่ต้องผ่าหรือตัดชิ้นงาน จึงนิยมมาใช้วัดความหนาของผนังท่อ โครงสร้างเหล็ก หรือผนังใต้ท้องเรือ เพื่อดูว่ามีการสึกกร่อนจากการใช้งานหรือไม่ ส่วนเครื่องวัดรอยร้าว (Flaw Detector) ใช้หลักการเดียวกันนี้ในการยิงคลื่นอุลตร้าโซนิค เข้าไปในชิ้นงานแล้วสังเกตุการสะท้อนกลับของคลื่นว่ามีหรือไม่ หากมีแปลว่ามีอากาศแทรกอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือมีรอยร้าวเกิดขึ้นนั่นเอง

     นอกจาก 5 อันดับนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจพฤติกรรมของไลน์การผลิตของผู้ที่ทำงานในแผนกซ่อมบำรุงเอง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่ามีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง หลายๆคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญในการวัดและซ่อมบำรุง แต่การลงทุนกับเครื่องมือวัดเครื่องนึง จะทำให้ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดงานกระทันหัน ความเสียหายจากอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งความเสียหายนั้นอาจจะประเมิณค่าไม่ได้เลย

สนใจสั่งซื้อสินค้า ติดต่อฝ่ายขาย โทร 02-299-333, 02-022-9999, 02-299-3000

หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์  โทร 084-674-6222